บทที่ ๒
ระบบนิเวศ หมายถึง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่อาศัย ณ ที่ใดที่หนึ่ง ความสัมพันธ์มี 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต และระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง โดยมีการถ่ายทอดพลังงานและสารอาหารในบริเวณนั้น ๆ สู่สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมอาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท
สิ่งแวดล้อมอาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท
1. สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต (Abiotic Environment) หรือปัจจัยทางกายภาพ (Physical Factor) ได้แก่ แสงสว่าง อุณหภูมิ น้ำและความชื้น กระแสลม อากาศ ความเค็ม ความเป็นกรด-เบส แร่ธาตุ ไฟแก๊ส
2. สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต (Biotic Environment) หรือปัจจัยทางชีวภาพ (Biotic Factor)
ไบโอม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ไบโอม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ไบโอมบนบก
ไบโอมบนบก (Terrestrial biomes) ใช้เกณฑ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิเป็นตัวกำหนด ไบโอมบนบกที่สำคัญ ได้แก่ ไบโอมป่าดิบชื้น ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น ใบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ไบโอมสะวันนา ไบโอมป่าสน ไบโอมทะเลทราย ไบโอมทุนดรา เช่น
• ป่าดิบชื้น (Tropical rain forest)
พบได้ในบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวีปอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาเอเชียตอนใต้ และบริเวณบางส่วนของหมู่เกาะแปซิฟิก ลักษณะของภูมิอากาศร้อนและชื้น มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 200 – 400 เซนติเมตรต่อปี ในป่าชนิดนี้พบพืชและสัตว์หลากหลายพันสปีชีส์ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก
พบได้ในบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวีปอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาเอเชียตอนใต้ และบริเวณบางส่วนของหมู่เกาะแปซิฟิก ลักษณะของภูมิอากาศร้อนและชื้น มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 200 – 400 เซนติเมตรต่อปี ในป่าชนิดนี้พบพืชและสัตว์หลากหลายพันสปีชีส์ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก
• ป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น (Temperate deciduous forest)
พบกระจายทั่วไปในละติจูดกลาง ซึ่งมีปริมาณความชื้นเพียงพอที่ต้นไม้ใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดี โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 100 เซนติเมตรต่อปี และมีอากาศค่อนข้างเย็น ในป่าชนิดนี้และต้นไม้จะทิ้งใบหรือผลัดใบก่อนฤดูหนาว และจะเริ่มผลิใบอีกครั้งเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ที่พบมีหลากหลายทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม รวมถึงไม้ล้มลุก
พบกระจายทั่วไปในละติจูดกลาง ซึ่งมีปริมาณความชื้นเพียงพอที่ต้นไม้ใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดี โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 100 เซนติเมตรต่อปี และมีอากาศค่อนข้างเย็น ในป่าชนิดนี้และต้นไม้จะทิ้งใบหรือผลัดใบก่อนฤดูหนาว และจะเริ่มผลิใบอีกครั้งเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ที่พบมีหลากหลายทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม รวมถึงไม้ล้มลุก
• ป่าสน (Coniferous forest)
• ป่าไทกา (Taiga) และป่าบอเรียล (Boreal) เป็นป่าประเภทเขียวชอุ่มตลอดปร พบได้ทางตอนใต้ของประเทศแคนนาดา ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปเอเชียและยุโรป ในเขตละติจูดตั้งแต่ 45 – 67 องศาเหนือ ลักษณะของภูมิดากาศมีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน อากาศเย็นและแห้ง พืชเด่นที่พบได้แก่ พืชจำพวกสน เช่น ไพน์ (Pine) เฟอ (Fir) สพรูซ (Spruce) และเฮมลอค เป็นต้น
• ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น (Temperate grassland) หรือที่รู้จักกันในชื่อทุ่งหญ้าแพรี่ (Prairie) ในตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือและทุ่งหญ้า สเตปส์ (Steppes) ของประเทศรัสเซีย สภาพภูมิอากาศมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 25 – 50 เซนติเมตรต่อปี ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่นนี้เหมาะสำหรับการทำกสิกรและปศุสัตว์ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงมีหญ้านานาชนิดขึ้นอยู่ ส่วนใหญ่พบมีการทำเกษตรกรรมควบคู่ในพื้นที่นี่ด้วย
• สะวันนา (Savanna) เป็นทุ่งหญ้าที่พบได้ในทวีปแอฟริกาและพบบ้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ลักษณะของภูมิอากาศร้อน พืชที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นหญ้าและมีต้นไม้กระจายเป็นหย่อม ๆ ในฤดูร้อนมักเกิดไฟป่า
• ทะเลทราย (Desert) พบได้ทั่วไปในโลก ในพื้นที่มีปริมาณฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 25 เซนติเมตรต่อปี ทะเลทรายบางแห่งร้อนมากมีอุณหภูมิเหนือผิวดินสูงถึง 60 องศาเซลเซียสตลอดวัน บางวันแห่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น พืชที่พบในไบโอมทะเลทรายนี้มีการป้องกันการสูญเสียน้ำ โดยใบลดรูปเป็นหนาม ลำต้นอวบ เก็บสะสมน้ำดี ทะเลทรายที่รู้จักกันโดยทั่วไป ได้แก่ ทะเลทรายซาฮารา (Sahara) ในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายโกบี (Gobi) ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและทะเลทรายโมฮาวี (Mojave) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
• ทุนดรา (Tundra) เป็นเขตที่มีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน ฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ ลักษณะเด่นคือ ชั้นของดินที่อยู่ต่ำกว่าจากผิวดินชั้นบนลงไปจะจับตัวเป็นน้ำแข็งถาวร ทุนดราพบเพียงตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ และยูเรเซีย พบพพืชและสัตว์อาศัยอยู่น้อยชนิด ปริมาณฝนน้อยในฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ น้ำแข็งที่ผิวหน้าดินละลาย แต่เนื่องจากน้ำไม่สามารถซึมผ่านลงไปในชั้นน้ำแข็งได้ในระยะสั้น ๆ พืชที่พบจะเป็นพวกไม้ดอกและไม้พุ่ม นอกจากนี้ยังพบสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เช่น ไลเคนด้วย
2. ไบโอมในน้ำ
2. ไบโอมในน้ำ
ไบโอมในน้ำที่พบเป็นองค์ประกอบหลักใบไบโอสเฟียร์ประกอบด้วย ไบโอมแหล่งน้ำจืด (Freshwater biomes) และไบโอมแหล่งน้ำเค็ม (Marine Biomes) และพบกระจายอยู่ทั้งเขตภูมิศาสตร์ในโลกนี้
• ไบโอมแหล่งน้ำจืด (Freshwater biomes) โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำนิ่งซึ่งได้แก่ ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบึง กับแหล่งน้ำไหล ได้แก่ ธารน้ำไหลและแม่น้ำ เป็นต้น
• ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม (Marine biomes) โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำเค็ม ซึ่งได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งพบได้ในปริมาณมากถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ผิวโลก และมีความลึกมากโดยเฉลี่ยถึง 3,750 เมตร ไบโอมแหล่งน้ำเค็มจะแตกต่างจากน้ำจืดตรงที่มีน้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยกายภาพสำคัญ นอกจากนี้ยังพบช่วงรอยต่อของแหล่งน้ำจืดกับน้ำเค็มที่มาบรรจบกัน และเกิดเป็นแหล่งน้ำกร่อยซึ่งมักพบบริเวณปากแม่น้ำ
ความหลากหลายในระบบนิเวศ
• ไบโอมแหล่งน้ำจืด (Freshwater biomes) โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำนิ่งซึ่งได้แก่ ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบึง กับแหล่งน้ำไหล ได้แก่ ธารน้ำไหลและแม่น้ำ เป็นต้น
• ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม (Marine biomes) โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำเค็ม ซึ่งได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งพบได้ในปริมาณมากถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ผิวโลก และมีความลึกมากโดยเฉลี่ยถึง 3,750 เมตร ไบโอมแหล่งน้ำเค็มจะแตกต่างจากน้ำจืดตรงที่มีน้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยกายภาพสำคัญ นอกจากนี้ยังพบช่วงรอยต่อของแหล่งน้ำจืดกับน้ำเค็มที่มาบรรจบกัน และเกิดเป็นแหล่งน้ำกร่อยซึ่งมักพบบริเวณปากแม่น้ำ
ความหลากหลายในระบบนิเวศ
ระบบนิเวศประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตนานาชนิดและรูปแบบต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ จุลินทรีย์ที่อยู่รวมกันบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้ การปรับตัวเปลี่ยนแปลงบางอย่างของสิ่งมีชีวิตอาจเกิดขึ้นภายในหนึ่งชั่วอายุหรือยาวนานหลายชั่วอายุ โดยผ่านการคัดเลือกตามธรรมชาติ ตามกระบวนการวิวัฒนาการ คุณสมบัติและความสามารถของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตและสภาวะแวดล้อมต่างก็มีบทบาทร่วมกัน และมีปฏิกิริยาต่อกันและกันอย่างซับซ้อนในระบบนิเวศที่สมดุล โครงสร้างและคุณสมบัติของระบบนิเวศเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมทั้งมนุษย์อยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล เมื่อความเจริญและอารยธรรมของมนุษย์ได้มาถึงจุดสุดยอดและเริ่มเสื่อมลงเพราะมนุษย์เริ่มทำลายสิ่งมีชิตชนิดอื่นที่เคยช่วยเหลือสนับสนุนตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือการแสวงหาความสุขและความบันเทิงบนความทุกข์ยากของสิ่งมีชีวิตอื่น จนทำให้เกิดการเสียสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของสรรพสิ่งทั้งมวล
การที่สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ถูกทำลายสูญหายไปจากโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งให้อัตราการสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตนานาชนิดที่เหลืออยู่เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ อันเนื่องมาจากการเสียดุลของระบบนิเวศนั้นเอง อัตราการสูญพันธุ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละระบบนิเวศ จะมีทางเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดหรือไม่ที่มนุษย์จะนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุงหาสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาทดแทนสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไป ทั้งนี้เพราะการสูญเสียแหล่งสะสมความแปรผันทางพันธุกรรม อันถือว่าเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าของประชากรสิ่งมีชีวิต นั้นจะเป็นการส่งเสริมให้มีการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศนั้น ๆ มากขึ้น
ระบบนิเวศแบบต่าง ๆ
การที่สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ถูกทำลายสูญหายไปจากโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งให้อัตราการสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตนานาชนิดที่เหลืออยู่เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ อันเนื่องมาจากการเสียดุลของระบบนิเวศนั้นเอง อัตราการสูญพันธุ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละระบบนิเวศ จะมีทางเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดหรือไม่ที่มนุษย์จะนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุงหาสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาทดแทนสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไป ทั้งนี้เพราะการสูญเสียแหล่งสะสมความแปรผันทางพันธุกรรม อันถือว่าเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าของประชากรสิ่งมีชีวิต นั้นจะเป็นการส่งเสริมให้มีการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศนั้น ๆ มากขึ้น
ระบบนิเวศแบบต่าง ๆ
ะบบนิเวศ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 แบบ คือ ระบบนิเวศบนบกและระบบนิเวศในน้ำ ระบบนิเวศแบบต่างในที่นี้จะกล่าวถึงระบบนิเวศ 4 แบบ เท่านั้น คือ
1. ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด
2. ระบบนิเวศในทะเล
3. ระบบนิเวศป่าชายเลน
4. ระบบนิเวศป่าไม้
ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด
1. ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด
2. ระบบนิเวศในทะเล
3. ระบบนิเวศป่าชายเลน
4. ระบบนิเวศป่าไม้
ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด
ความสำคัญ
เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำและพืชน้ำ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ เป็นแหล่งที่ให้น้ำในการอุปโภค บริโภค และทำการเกษตร ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำจืด พืช เช่น จอก สาหร่าย แหน เป็นต้น สัตว์ เช่น หอย ปลาต่าง ๆ กุ้ง เป็นต้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงชีพ
• ปัจจัยต่าง ๆ ตามธรรมชาติ ได้แก่ แสง อุณหภูมิ ปริมาณก๊าซออกซิเจน ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณแร่ธาตุ ความขุ่นในของน้ำ
• ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
• ปัจจัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ การใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อชะล้างลงสู่แหล่งน้ำจะไปทำลายสิ่งมีชีวิตในน้ำ น้ำบางชนิดทำให้มีผลกระทบต่อ การถ่ายทอดพลังงานและสมดุลทางธรรมชาติในแหล่งน้ำ
สิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ
• ผู้ผลิต ได้แก่ พืชต่าง ๆ ซึ่งในแหล่งน้ำมีทั้งที่เป็นพวกแพลงก์ตอน (Plankton) สาหร่ายต่าง ๆ เฟิร์น และพืชดอก
• ผู้บริโภค ได้แก่ พวกแพลงก์ตอนสัตว์ แมลงต่าง ๆ และสัตว์พวกกินซากอินทรีย์
• ผู้ย่อยสลาย มีทั้งพวกแบคทีเรีย เห็ด รา
ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด
มี 2 ระบบ คือ ชุมชนในแหล่งน้ำนิ่ง และชุมชนในแหล่งน้ำไหล การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในชุมชนแหล่งน้ำไหลแรง
มีโครงสร้างสำหรับเกาะหรือดูดติดกับพื้นผิวอย่างมั่นคง สามารถสกัดเมืองเหนียวใช้ยึดเกาะ เช่น หอยมีรูปร่างเพรียว เพื่อลดความต้านทานของกระแสน้ำ มีรูปร่างแบนราบไปกับพื้นที่ผิวที่เกาะชอบว่ายทวนน้ำอยู่เสมอ เกาะติดกับพื้นผิวหรือซุกซ่อนตัวตามวัตถุใต้น้ำ
ระบบนิเวศในทะเล
ความสำคัญ
• เป็นแหล่งทรัยากรธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด
• สิ่งมีชีวิตในทะเล ได้แก่ แพลงก์ตอน มีทั้งแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ เช่น ไดอะตอม กุ้งเคย ตัวอ่อนของเพรียงหิน และยังมีพวกสาหร่าย เช่น สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน สิ่งมีชีวิตหน้าดินพบอยู่ทั่วไป เช่น ฟองน้ำ ปะการัง เพรียงหิน หอยนางรม ดอกไม้ทะเล ปลิงทะเล ดาวทะเล หอยแครง พลับพลึงทะเล
ระบบนิเวศในทะเล มี 3 ชุมนม
• ชุมชนหาดทราย เป็นบริเวณที่ไม่เหมาะกับการอาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลทั่วไป เพราะมีสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
• ชุมชนหาดหิน เป็นบริเวณที่ประกอบไปด้วยหินเป็นส่วนใหญ่
• ชุมชนแนวปะการัง ประกอบด้วยปะการังหลายชนิด มีรูปร่างต่าง ๆ กัน
ระบบนิเวศป่าชายเลน
• ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
• ปัจจัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ การใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อชะล้างลงสู่แหล่งน้ำจะไปทำลายสิ่งมีชีวิตในน้ำ น้ำบางชนิดทำให้มีผลกระทบต่อ การถ่ายทอดพลังงานและสมดุลทางธรรมชาติในแหล่งน้ำ
สิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ
• ผู้ผลิต ได้แก่ พืชต่าง ๆ ซึ่งในแหล่งน้ำมีทั้งที่เป็นพวกแพลงก์ตอน (Plankton) สาหร่ายต่าง ๆ เฟิร์น และพืชดอก
• ผู้บริโภค ได้แก่ พวกแพลงก์ตอนสัตว์ แมลงต่าง ๆ และสัตว์พวกกินซากอินทรีย์
• ผู้ย่อยสลาย มีทั้งพวกแบคทีเรีย เห็ด รา
ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด
มี 2 ระบบ คือ ชุมชนในแหล่งน้ำนิ่ง และชุมชนในแหล่งน้ำไหล การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในชุมชนแหล่งน้ำไหลแรง
มีโครงสร้างสำหรับเกาะหรือดูดติดกับพื้นผิวอย่างมั่นคง สามารถสกัดเมืองเหนียวใช้ยึดเกาะ เช่น หอยมีรูปร่างเพรียว เพื่อลดความต้านทานของกระแสน้ำ มีรูปร่างแบนราบไปกับพื้นที่ผิวที่เกาะชอบว่ายทวนน้ำอยู่เสมอ เกาะติดกับพื้นผิวหรือซุกซ่อนตัวตามวัตถุใต้น้ำ
ระบบนิเวศในทะเล
ความสำคัญ
• เป็นแหล่งทรัยากรธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด
• สิ่งมีชีวิตในทะเล ได้แก่ แพลงก์ตอน มีทั้งแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ เช่น ไดอะตอม กุ้งเคย ตัวอ่อนของเพรียงหิน และยังมีพวกสาหร่าย เช่น สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน สิ่งมีชีวิตหน้าดินพบอยู่ทั่วไป เช่น ฟองน้ำ ปะการัง เพรียงหิน หอยนางรม ดอกไม้ทะเล ปลิงทะเล ดาวทะเล หอยแครง พลับพลึงทะเล
ระบบนิเวศในทะเล มี 3 ชุมนม
• ชุมชนหาดทราย เป็นบริเวณที่ไม่เหมาะกับการอาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลทั่วไป เพราะมีสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
• ชุมชนหาดหิน เป็นบริเวณที่ประกอบไปด้วยหินเป็นส่วนใหญ่
• ชุมชนแนวปะการัง ประกอบด้วยปะการังหลายชนิด มีรูปร่างต่าง ๆ กัน
ระบบนิเวศป่าชายเลน
ความสำคัญ
• เป็นแหล่งอาศัยของและขยายพันธุ์สัตว์น้ำเป็นตัวกลางทำให้เกิดความสมดุลระหว่างทะเลกับบก เป็นแหล่งพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหลายอย่าง
• เป็นแหล่งอาการที่มีความอุดมสมบูรณ์
• เป็นฉากกำบังลม ป้องกันการชะล้างที่รุนแรงที่เกิดจากลมมรสุมและเป็นเสมือนกำแพงป้องกันการพังทลายของดิน
• รากพันธุ์ไม้ช่วยกรองสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ในน้ำ
• เป็นแหล่งอาศัยของและขยายพันธุ์สัตว์น้ำเป็นตัวกลางทำให้เกิดความสมดุลระหว่างทะเลกับบก เป็นแหล่งพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหลายอย่าง
• เป็นแหล่งอาการที่มีความอุดมสมบูรณ์
• เป็นฉากกำบังลม ป้องกันการชะล้างที่รุนแรงที่เกิดจากลมมรสุมและเป็นเสมือนกำแพงป้องกันการพังทลายของดิน
• รากพันธุ์ไม้ช่วยกรองสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ในน้ำ
ลักษณะของป่าชายเลนป่าชายเลนเกิดจากการทับถมของตะกอนบริเวณปากแม่น้ำ ประกอบไปด้วยทราย โคลน และดิน บริเวณที่ติดกับปากแม่น้ำเป็นดิน ดินเหนียว ถัดไปเป็นดินร่วนและบริเวณที่ลึกเข้าไปจะมีทรายมากขึ้น นอกจากนี้ บริเวณต่าง ๆ ของป่าชายเลนยังแตกต่างในด้านของความเป็นกรด – เบส ความเค็ม รวมทั้งความสมบูรณ์ของดิน ซึ่งวัดได้จากปริมาณของไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โปแทสเซียม (K)
ลักษณะของสิ่งมีชีวิตในป่าชายเลน
• พืช ได้แก่ โกงกาง แสมดำ โปรงขาว โปรงหนู รังกะแท้ ชะคราม ตะบูน ตีนเป็ดทะเล ตาตุ่มทะเล ปรงทะเล เทียนทะเล ชลู ลำพู ลำแพน ถั่วขาว ผักเบี้ยทะเล
• สัตว์ที่อยู่ตามหน้าดินตามชายเลน ได้แก่ ปลาตีน ปูเสฉวน ปูแสม ทากทะเล หอยขี้นก กุ้งดีดขัน ปูก้ามดาบ
• สัตว์ในดิน ได้แก่ ไส้เดือนทะเล หอยฝาเดียว
ระบบนิเวศป่าไม้
• พืช ได้แก่ โกงกาง แสมดำ โปรงขาว โปรงหนู รังกะแท้ ชะคราม ตะบูน ตีนเป็ดทะเล ตาตุ่มทะเล ปรงทะเล เทียนทะเล ชลู ลำพู ลำแพน ถั่วขาว ผักเบี้ยทะเล
• สัตว์ที่อยู่ตามหน้าดินตามชายเลน ได้แก่ ปลาตีน ปูเสฉวน ปูแสม ทากทะเล หอยขี้นก กุ้งดีดขัน ปูก้ามดาบ
• สัตว์ในดิน ได้แก่ ไส้เดือนทะเล หอยฝาเดียว
ระบบนิเวศป่าไม้
ความสำคัญ
• แหล่งรวมพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าต่าง ๆ ช่วยกำบังลมพายุ
• แหล่งต้นน้ำลำธาร ทำให้ฝนตกตามฤดูกาล
• ช่วยควบคุมอุณหภูมิบนโลก ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวดินและอากาศ
• ผลิตก๊าซออกซิเจน (O2) และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แหล่งสะสมปุ๋ยธรรมชาติ
• ลดความรุนแรงของน้ำป่าและการพังทลายของหน้าดินที่เกิดจากกระแสน้ำไหลบ่า
• แหล่งรวมพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าต่าง ๆ ช่วยกำบังลมพายุ
• แหล่งต้นน้ำลำธาร ทำให้ฝนตกตามฤดูกาล
• ช่วยควบคุมอุณหภูมิบนโลก ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวดินและอากาศ
• ผลิตก๊าซออกซิเจน (O2) และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แหล่งสะสมปุ๋ยธรรมชาติ
• ลดความรุนแรงของน้ำป่าและการพังทลายของหน้าดินที่เกิดจากกระแสน้ำไหลบ่า
ลักษณะของป่าไม้และสังคมสิ่งมีชีวิตในป่าของประเทศไทย เช่น
• ป่าพรุ (Freshwater swamp forest) พบตามที่ลุ่มในภาคใต้ เป็นป่าที่มีน้ำจืดขังอยู่ตลอดปี และน้ำมีความเป็นกรดสูง ลักษณะของป่าแน่นทึบ พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้ขนาดเล็ก เช่น หวาย หมากแดง เป็นต้น
• ป่าสนเขา (Coniferous Forest Biomes) เป็นป่าเขียวตลอดปี ประกอบด้วยพืชพรรณพวกที่มีใบเรียวเล็ก เรียวยาวขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มียอดปกคลุมทึบตลอดปี ไม่มีการผลัดใบ แสงผ่านลงมาถึงพื้นดินน้อย ดินเป็นกรด ขาดธาตุอาหาร สิ่งมีชีวิตที่พบ เช่น แมวป่า หมาป่า หมี เม่น กระรอกและนก
• ป่าดิบชื้น (Tropical Rain Forest Biomes)
เป็นป่าที่มีฝนตกตลอดปี พืชเป็นพวกใบกว้างไม่ผลัดใบ ปกคลุมหนา มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช ประกอบด้วยไม้ยืนต้นนานาชนิด พื้นดินมีต้นไม้ขึ้นกระจัดกระจาย เพราะได้รับแสงไม่เพียงพอ พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ไม้ยาง ไม้ตะเคียน บริเวณพื้นดินเป็นพวกเฟิร์น หวาย ไม้ไผ่และเถาวัลย์
โซ่อาหารและสายใยอาหาร
• ป่าพรุ (Freshwater swamp forest) พบตามที่ลุ่มในภาคใต้ เป็นป่าที่มีน้ำจืดขังอยู่ตลอดปี และน้ำมีความเป็นกรดสูง ลักษณะของป่าแน่นทึบ พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้ขนาดเล็ก เช่น หวาย หมากแดง เป็นต้น
• ป่าสนเขา (Coniferous Forest Biomes) เป็นป่าเขียวตลอดปี ประกอบด้วยพืชพรรณพวกที่มีใบเรียวเล็ก เรียวยาวขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มียอดปกคลุมทึบตลอดปี ไม่มีการผลัดใบ แสงผ่านลงมาถึงพื้นดินน้อย ดินเป็นกรด ขาดธาตุอาหาร สิ่งมีชีวิตที่พบ เช่น แมวป่า หมาป่า หมี เม่น กระรอกและนก
• ป่าดิบชื้น (Tropical Rain Forest Biomes)
เป็นป่าที่มีฝนตกตลอดปี พืชเป็นพวกใบกว้างไม่ผลัดใบ ปกคลุมหนา มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช ประกอบด้วยไม้ยืนต้นนานาชนิด พื้นดินมีต้นไม้ขึ้นกระจัดกระจาย เพราะได้รับแสงไม่เพียงพอ พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ไม้ยาง ไม้ตะเคียน บริเวณพื้นดินเป็นพวกเฟิร์น หวาย ไม้ไผ่และเถาวัลย์
โซ่อาหารและสายใยอาหาร
โซ่อาหาร หมายถึง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในเรื่องของการกินต่อกันเป็นทอด ๆ จากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ทำให้การถ่ายทอดพลังงานในอาหารต่อเนื่องเป็นลำดับจากการกินต่อกัน ตัวอย่างเช่น
1. Decomposition food chain เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากการย่อยสลายซากอินทรีย์โดยพวกจุลินทรีย์ ได้แก่ เห็ดรา แบคทีเรีย และ Detritivorous animails เป็นระบบนิเวศที่มีสายใยอาหารของผู้ย่อยสลายมากกว่า เช่น ซากพืชซากสัตว์ ไส้เดือนดิน นก งู
2. Parasitism food chain เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากภาวะปรสิต ตัวอย่างเช่น ไก่ ไรไก่ โปโตซัว แบคทีเรีย
3. Predation food chain เป็นห่วงโซ่อาหารที่เป็นการกินกันของสัตว์ผู้ล่า (สัตว์กินพืช สัตว์กินเนื้อ) อาจเป็นพวกขุดกิน (Grazing food chain) ซึ่งห่วงโซ่เริ่มต้นที่สัตว์พวกขูดกินอาหารแบบผสม โดยมีการกินกันและมีปรสิต เช่น สาหร่ายสีเขียว หอยขม พยาธิใบไม้ นก
สายใยอาหาร
1. Decomposition food chain เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากการย่อยสลายซากอินทรีย์โดยพวกจุลินทรีย์ ได้แก่ เห็ดรา แบคทีเรีย และ Detritivorous animails เป็นระบบนิเวศที่มีสายใยอาหารของผู้ย่อยสลายมากกว่า เช่น ซากพืชซากสัตว์ ไส้เดือนดิน นก งู
2. Parasitism food chain เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากภาวะปรสิต ตัวอย่างเช่น ไก่ ไรไก่ โปโตซัว แบคทีเรีย
3. Predation food chain เป็นห่วงโซ่อาหารที่เป็นการกินกันของสัตว์ผู้ล่า (สัตว์กินพืช สัตว์กินเนื้อ) อาจเป็นพวกขุดกิน (Grazing food chain) ซึ่งห่วงโซ่เริ่มต้นที่สัตว์พวกขูดกินอาหารแบบผสม โดยมีการกินกันและมีปรสิต เช่น สาหร่ายสีเขียว หอยขม พยาธิใบไม้ นก
สายใยอาหาร
ในระบบนิเวศหนึ่ง ๆ จะมีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตและมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ที่สำคัญคือการเป็นการทำให้มีการถ่ายทอดพลังงานในโมเลกุลของอาหารต่อเนื่องเป็นลำดับจากพืช ซึ่งเป็นผู้ผลิต (Producer) สู่ผู้บริโภค (Herbivore) ผู้บริโภคสัตว์ (Carnivore) กลุ่มผู้บริโภคทั้งพืชและสัตว์ (Omnivore) และผู้ย่อยสลายอินทรีย์สาร (Decomposer) ตามลำดับในห่วงโซ่อาหาร (Food Chain) ในระบบนิเวศธรรมชาติระบบหนึ่ง ๆ จะมีห่วงโซ่อาหารสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนหลายห่วงโซ่ เป็นสายใยอาหาร (Food Web)
สปีชีส์ คือ เป็นเหยื่อกับผู้ล่าเหยื่อ (Prey Predator Interaction) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่มีฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์และอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์
ส่วนไลเคนส์เป็นสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด คือ รากับสาหร่ายสีเขียว การอยู่ร่วมกันนี้ทั้งสาหร่ายและราต่างได้รับประโยชน์ กล่าวคือ สาหร่ายสร้างอาหารเองได้แต่ต้องอาศัยความชื้นจากรา ราก็ได้อาศัยอาหารที่สาหร่ายสร้างขึ้นและให้ความชื้นแก่สาหร่าย ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดที่อาศัยอยู่ร่วมกันชั่วคราวหรือตลอดไป และต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เรียกว่า ภาวะที่พึ่งพากัน (Mutualism) แบคทีเรีย พวกไรโซเบียม (Rhizobium) ที่อาศัยอยู่ที่ปมรากพืชตระกูลถั่ว โดยแบคทีเรียจับไนโตรเจนในอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนเตรตที่พืชนำไปใช้ ส่วนแบคทีเรียก็ได้พลังงานจากการสลายสารอาหารที่มีอยู่ในรากพืช นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างซีแอนีโมนีกับปูเสสวน มดดำกับเพลี้ยก็เป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาฝ่ายหนึ่งได้รับ เพื่ออาศัยความชื้นและแร่ธาตุบางอย่างจากเปลือกต้นไม้เท่านั้น โดยต้นไม้ใหญ่ไม่เสียประโยชน์เรียกความสัมพันธ์เช่นนี้ว่า ภาวะอ้างอิง (Commensalism) ฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์และอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ คือความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ภาวะปรสิต (Parasitism) เช่น เห็บที่อาศัยที่ผิวหนังของสุนัข สุนัขเป็นผู้ถูกอาศัย (Host) ถูกเห็บสุนัขดูดเลือดจึงเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ ส่วนเห็บซึ่งเป็นปรสิต (Parasite) ได้รับประโยชน์คือได้อาหารจากเลือดของสุนัขภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ยังเป็นที่อาศัยของปรสิตหลายชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืดในทางเดินอาหาร เป็นต้น
กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ย่อยสลายอินทรียสาร ได้แก่ แบคทีเรีย เห็ด ราจะสร้างสารออกมาย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตบางส่วนของสารที่ย่อยแล้ว จะถูกดูดกลับไปใช้ในการดำรงชีวิตด้วยกระบวนการดังกล่าว ทำให้ซากสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยย่อยสลายเป็นอินทรียสารกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่า ภาวะมีการย่อยสลาย (Saprophytism)
ส่วนไลเคนส์เป็นสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด คือ รากับสาหร่ายสีเขียว การอยู่ร่วมกันนี้ทั้งสาหร่ายและราต่างได้รับประโยชน์ กล่าวคือ สาหร่ายสร้างอาหารเองได้แต่ต้องอาศัยความชื้นจากรา ราก็ได้อาศัยอาหารที่สาหร่ายสร้างขึ้นและให้ความชื้นแก่สาหร่าย ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดที่อาศัยอยู่ร่วมกันชั่วคราวหรือตลอดไป และต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เรียกว่า ภาวะที่พึ่งพากัน (Mutualism) แบคทีเรีย พวกไรโซเบียม (Rhizobium) ที่อาศัยอยู่ที่ปมรากพืชตระกูลถั่ว โดยแบคทีเรียจับไนโตรเจนในอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนเตรตที่พืชนำไปใช้ ส่วนแบคทีเรียก็ได้พลังงานจากการสลายสารอาหารที่มีอยู่ในรากพืช นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างซีแอนีโมนีกับปูเสสวน มดดำกับเพลี้ยก็เป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาฝ่ายหนึ่งได้รับ เพื่ออาศัยความชื้นและแร่ธาตุบางอย่างจากเปลือกต้นไม้เท่านั้น โดยต้นไม้ใหญ่ไม่เสียประโยชน์เรียกความสัมพันธ์เช่นนี้ว่า ภาวะอ้างอิง (Commensalism) ฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์และอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ คือความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ภาวะปรสิต (Parasitism) เช่น เห็บที่อาศัยที่ผิวหนังของสุนัข สุนัขเป็นผู้ถูกอาศัย (Host) ถูกเห็บสุนัขดูดเลือดจึงเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ ส่วนเห็บซึ่งเป็นปรสิต (Parasite) ได้รับประโยชน์คือได้อาหารจากเลือดของสุนัขภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ยังเป็นที่อาศัยของปรสิตหลายชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืดในทางเดินอาหาร เป็นต้น
กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ย่อยสลายอินทรียสาร ได้แก่ แบคทีเรีย เห็ด ราจะสร้างสารออกมาย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตบางส่วนของสารที่ย่อยแล้ว จะถูกดูดกลับไปใช้ในการดำรงชีวิตด้วยกระบวนการดังกล่าว ทำให้ซากสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยย่อยสลายเป็นอินทรียสารกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่า ภาวะมีการย่อยสลาย (Saprophytism)
ข้อสอบปลายภาค ชุดที่ 2
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1
แบบปรนัย
คำชี้แจง เลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำเดียว
1. ในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
สิ่งที่ทำหน้าที่นำลักษณะทางพันธุกรรมจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง คือข้อใด
1 เลือด
2 เซลล์
3 ฮอร์โมน
4 เซลล์สืบพันธุ์
2. คำกล่าวในข้อใดที่สนับสนุนความหมายของพันธุกรรมมากที่สุด
1 จะดูนางก็ให้ดูแม่
2 ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น
3 กาก็ต้องเป็นกาจะเป็นหงส์ไม่ได้
4 พ่อแม่เป็นอย่างไรลูกก็มักเป็นอย่างนั้น
3. หน่วยที่เล็กที่สุดที่แสดงการถ่ายทอดพันธุกรรม
คือข้อใด
1 ยีน
2 DNA
3 โครโมโซม
4 นิวเคลียส
4. DNA จะพบในเซลล์ชนิดใด
1 เซลล์ประสาท
2 เซลล์กล้ามเนื้อ
3 เซลล์สืบพันธุ์
4 ถูกทุกข้อ
5. สิ่งมีชีวิตเมื่อมีการเพิ่มจำนวนของเซลล์ร่างกาย
จะมีการแบ่งเซลล์แบบใด
1 ไมโอซิส
2 ไมโทซิส
3 ไมโอซิสและไมโทซิส
4 ไม่มีข้อถูก
6. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพเป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตชนิดใด
1 พืช
2 สัตว์
3 จุลินทรีย์
4 พืช สัตว์ และจุลินทรีย์
7. ข้อใดไม่ใช่การนำเทคโนโลยีชีวภาพแบบง่าย ๆ มาใช้ประโยชน์ของมนุษย์ในอดีต
1 การหมักยีสต์
2 การทำไวน์
ค การทำเนยแข็ง
4 การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
8. สาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการปรับปรุงพันธุ์คืออะไร
1 การขาดแคลนอาหารของโลก
2 เป็นการคัดเลือกพืชในธรรมชาติ
3 เพื่อนำความรู้หลาย ๆ สาขามาใช้
4 เป็นการผสมพันธุ์พืชที่ต่างชนิดกัน
9. ถ้านักเรียนต้องการขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากที่สุดในระยะเวลาอันสั้นไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์
ควรใช้การขยายพันธุ์ตามข้อใด
1 การตอน
2 การทาบกิ่ง
3 การเพาะเมล็ด
4 การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
10. ข้อใดเป็นผลงานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติในด้านอุตสาหกรรมอาหาร
1 การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้เพื่อเพิ่มปริมาณมากขึ้น
2 การลดปริมาณคอเลสเตอรอลของไข่แดงในไข่ไก่
3 การเก็บรักษาผลผลิตได้นานเนื่องจากการสุกงอมช้า
4 การปรับปรุงมะเขือเทศให้มีสีแดงสดและปริมาณเนื้อมาก
11. ข้อใดคือความหมายของระบบนิเวศ
1 กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
2 กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศับในบริเวณแห่งหนึ่ง
3 ระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย
4 ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต
และสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
12. ระบบนิเวศใดเป็นแนวกำบังลมและเป็นแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำ
1 ระบบนิเวศป่าไม้
2 ระบบนิเวศทุ่งหญ้า
3 ระบบนิเวศทางทะเล
4 ระบบนิเวศป่าชายเลน
13. อุปกรณ์ชนิดใดที่ใช้วัดความลึกในการส่องผ่านของแสงในแหล่งน้ำ
1 เซคิดิสก์
2 ลักซ์มิเตอร์
3 เดนซิโอมิเตอร์
4 กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์
14. จากการสำรวจระบบนิเวศรอบโรงเรียนปัจจัยข้อใดสำคัญที่สุดที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน
1 อาหาร
2 อุณหภูมิ
3 ภูมิอากาศ
4 ที่อยู่อาศัย
15. ข้อใดอธิบายความหมายของคำว่า
ระบบนิเวศได้ถูกต้องที่สุด
1 ฝูงกวางขนาดใหญ่วิ่งหนีการไล่ล่าของเสือป่า
2 เทือกเขาแห่งหนึ่งมีต้นไม้หลากหลายชนิดทำให้ดูสดชื่น
3 ต้นขนุนขนาดใหญ่มีมด แมลง เห็ด และนกชนิดต่าง ๆ
อาศัยอยู่จำนวนมาก
4 สวนป่าแห่งหนึ่งมีพันุ์ไม้หลากหลายชนิด
มีทั้งไม้ยืนต้นและไม้พุ่มขนาดเล็ก
16. ระบบนิเวศใดที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
1 ระบบนิเวศป่าไม้
2 ระบบนิเวศทางทะเล
ค ระบบนิเวศป่าชายเลน
ง ระบบนิเวศชุมชนเมือง
17. การใช้เซคิดิสก์วัดค่าความลึกที่แสงส่องผ่านแหล่งน้ำ
ควรกระทำในเวลาใด
1 ช่วงสาย
2 ช่วงเช้าตรู่
3 ช่วงใกล้เที่ยงวัน
4 ช่วงเย็นใกล้จะเลิกเรียน
18. วัว ควาย ช้าง และม้า จัดเป็นผู้บริโภคประเภทใด
1 herbivore
2 carnivore
3 omnivore
4 scavenger
19. ชนิด ปริมาณ การกระจาย
และพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตแต่ละแห่งที่สำรวจพบบริเวณรอบ ๆ โรงเรียน
มีความสัมพันธ์กับสิ่งใดมากที่สุด
1 แหล่งที่อยู่
2 อาหารการกิน
3 ปัจจัยทางกายภาพ
4 สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน
20. สิ่งมีชีวิตประเภทใดที่เป็น decomposer
1 เห็ดรา
2 นกแร้ง
3 ไส้เดือน
4 แพลงก์ตอน
21. ข้อใดจัดเป็นโซ่อาหารที่ถูกต้อง
1 ไรแดง ข้าว คน
2 หนูนา งู เหยี่ยว
3 งู
หนูนา เหยี่ยว
4 ไรแดง สาหร่าย ปลา
22. ข้อใดกล่าวผิด
1 โซ่อาหารจะต้องเริ่มต้นจากผู้ผลิตเสมอ
2 การเขียนโซ่อาหารหัวลูกศรจะชี้ไปยังผู้ล่า
3 สายใยอาหาร คือ ความสัมพันธ์ของโซ่อาหารหลาย ๆ
โซ่อาหาร
4 ผู้บริโภคลำดับที่หนึ่งของโซ่อาหารหนึ่งอาจจะเป็นผู้บริโภคลำดับที่
2 ของโซ่อาหารอื่นได้
23. ไส้เดือนและกิ้งกือจัดเป็นผู้บริโภคประเภทใด
1 herbivore
2 carnivore
3 omnivore
4 scavenger
24. ข้อใดกล่าวถึงเห็ดราได้ถูกต้อง
1 สร้างอาหารได้เองเพราะมีคลอโรฟิลล์
2 เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันกับแพลงก์ตอนพืช
3 ได้รับอาหารจากการดูดสารอินทรีย์จากซากพืชซากสัตว์
4 เห็ดราบางชนิดหายใจโดยใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจน
25. จากข้อมูลต่อไปนี้ ข้อใดเขียนโซ่อาหารได้ถูกต้อง
1 ปลานิล
3 ไรแดง
2 ลูกกุ้ง
4 แบคทีเรีย
1 3 ® 2 ®1 ® 4
2 3 ® 4 ® 2 ® 1
3 4 ® 3 ® 2 ® 1
4 4 ® 2 ® 3 ® 1
26. ข้อใดเป็นโซ่อาหารแบบผู้ล่า
1 ข้าว ® ตั๊กแตน ® กบ
2 ซากสุนัข® แร้ง ® เสือ
3 สุนัข ® เห็บ ® แบคทีเรีย
4 ควาย ® เหลือบ ® นกเอี้ยง
27. ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทานตะวันกับตัวต่อเป็นความสัมพันธ์แบบเดียวกันกับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใด
1 มดกับเพลี้ย
2 รากับสาหร่าย
3 พยาธิตัวตืดกับคน
4 กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่
28. ไลเคนคือความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในภาวะใด
1 predation
2 mutualism
3 commensalism
4 protocooperation
29. การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศสามารถกระทำในรูปแบบใด
1 ถ่ายทอดโดยผู้ผลิต
2 ถ่ายทอดโดยพลังงานแสง
3 การกินกันเป็นทอด ๆ ของสิ่งมีชีวิต
4 ถ่ายทอดจากผู้ย่อยสลายอินทรียสาร
30. พืชแต่ละชนิดจะเจริญเติบโตในดินที่มีลักษณะต่างกัน
ซึ่งกุหลาบหินสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินชนิดใด
1 ดินร่วน
2 ดินทราย
3 ดินเหนียว
4 ดินร่วนปนทราย
31. เพราะเหตุใดเมื่อนักเรียนเป่าลมหายใจลงไปในน้ำปูนใสจึงขุ่น
1 ลมหายใจของคนมีแก๊สออกซิเจน
จึงทำปฏิกิริยากับน้ำปูนใส
2 มีแก๊สหลายชนิดในลมหายใจของคน
และทำปฏิกิริยากับน้ำปูนใส
ค แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจของคนทำปฏิกิริยากับน้ำปูนใส
4 กรดไฮโดรคลอริกในขวดเตรียมแก๊สทำปฏิกิริยากับน้ำปูนใส
32. เพลี้ยกับมดมีความสัมพันธ์แบบใด
1 ภาวะพึ่งพา
2 ภาวะปรสิต
ค ภาวะล่าเหยื่อ
4 ภาวะการได้ประโยชน์ร่วมกัน
33. ไลเคน (lichen) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตใด
1 รากับสาหร่าย
2 รากับแบคทีเรีย
ค รากับแหนแดง
4 แหนแดงกับสาหร่าย
34. การกินกันเปน็ ทอด ๆ ของสงิ่ มีชวี
ิตในธรรมชาตินั้น มีจุดประสงค์เพื่ออะไร
1 ถ่ายทอดพลังงาน
2 ปรับสมดุลธรรมชาติ
ค กำจัดศัตรูให้หมดไป
4 ควบคุมปริมาณเหยื่อ
35. จากการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
ข้าวสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินชนิดใด
1 ดินร่วน
2 ดินทราย
3 ดินเหนียว
4 ดินร่วนปนทราย
36. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1 กล้วยไม้เป็นพืชที่มีความต้องการแสงในปริมาณมาก
2 แก๊สออกซิเจนที่พืชคายออกมานั้นได้มาจากกระบวนการหายใจ
3 สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์จะขุ่นเมื่อได้รับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
4 ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงนั้น พืชจะคายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปสู่บรรยากาศ
จากแผนภาพต่อไปนี้ จงตอบคำถามข้อ 37–38
![]() |
![]() |
37. จากแผนภาพ A คืออะไร
1 ผู้ผลิต
2 การหายใจ
3 ผู้ย่อยสลายอินทรียสาร
4 การสังเคราะห์ด้วยแสง
38. จากแผนภาพ D คืออะไร
1 พืช
2 สัตว์
3 กระบวนการหายใจ
4 ผู้ย่อยสลายอินทรียสาร
39. จากการศึกษาสิ่งมีชีวิตบนต้นจามจุรี พบนกกาเหว่า 4
ตัว และหนอนจำนวนมากเกาะอยู่ตามใบของต้นจามจุรี
สามารถเขียนพีระมิดพลังงานของสิ่งมีชีวิตบนต้นจามจุรีได้ตามข้อใด


![]() |
3


40. จากแผนภาพผู้บริโภคพืชคือข้อใด
1 A
2 B
3 C
4 D
41. จากแผนภาพ D คืออะไร
1 พืช
2 แก๊สออกซิเจน
3 ผู้บริโภคพืชและสัตว์
4 แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
42. ในระบบนิเวศสวนขนุน (A) พบสิ่งมีชีวิต
3 ชนิด คือ เพลี้ย (B) ตั๊กแตน (C)
และนก (D) ข้อใดแสดงพีระมิดจำนวนและพีระมิดปริมาณพลังงานของระบบนิเวศสวนขนุนได้ถูกต้อง
![]() |
1 1 และ 3
2 1 และ 4
3 2 และ 3
4 2 และ 4
43. ในระบบนิเวศ
วัฏจักรของสารใดมีความสำคัญต่อมนุษย์มากที่สุด
1 น้ำ
2 คาร์บอน
ค ไนโตรเจน
4 ฟอสฟอรัส
44. วัฏจักรของคาร์บอนในธรรมชาตินั้น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะกลับคืนไปสู่บรรยากาศได้ด้วยกระบวนการใด
1 การหายใจ
2 การสังเคราะห์ด้วยแสง
ค การย่อยสลายอินทรียสาร
4 ถูกทั้งข้อ ข และข้อ ค
45. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการปรับตัวแบบถาวร
1 พืชเอนลำต้นเข้าหาแสง
2 กบและเขียดจำศีลในฤดูหนาว
3 นมผักกระเฉดช่วยให้ลอยน้ำได้
4 ตั๊กแตนและหนอนมีสีเหมือนกิ่งไม้
46. การปรับตัวในข้อใดไม่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
1 นมผักกระเฉดช่วยให้ลอยน้ำได้
2 ต้นสนมีใบเล็กเรียวไม่ต้านลม
ค ต้นผักบุ้งเบนลำต้นเพื่อเข้าหาแสง
4 งูชนิดต่าง ๆ มีสีกลมกลืนกับที่อยู่อาศัย
47. วัฏจักรของสารในข้อใดไม่มีการหมุนเวียนสู่บรรยากาศ
1 คาร์บอน
2 ไนโตรเจน
3 ฟอสฟอรัส
4 คาร์บอนไดออกไซด์
48. การหมุนเวียนของสารในวัฏจักรใดที่ไม่จำเป็นต้องผ่านสิ่งมีชีวิต
1 น้ำ
2 คาร์บอน
ค ไนโตรเจน
4 ฟอสฟอรัส
49. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการปรับตัวแบบชั่วคราว
1 นมผักกระเฉดช่วยให้ลอยน้ำได้
2 ตั๊กแตนและหนอนมีลำตัวสีเหมือนกิ่งไม้
3 ต้นกระบองเพชรเปลี่ยนใบเป็นหนาม
4 กิ้งก่ามีเกล็ดเพื่อช่วยป้องกันการระเหยของน้ำ
50. การปรับตัวในข้อใดเป็นการปรับตัวทางด้านสรีระการทำงานของร่างกาย
1 กบจำศีลในฤดูหนาว
2 นกทะเลมีต่อมขับเกลือ
3 นกเป็ดน้ำอพยพย้ายถิ่น
4 สาหร่ายหางกระรอกมีใบเขียวเล็ก
51. สาเหตุที่ทำให้ขนาดของประชากรเปลี่ยนแปลงคืออะไร
1 การเกิด
2 การตาย
3 การย้ายถิ่นที่อยู่
4 ถูกทุกข้อ
52. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
1 ความแปรปรวนของฤดูกาล
2 การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ
3 การเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว
4 ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์
53. ข้อใดเป็นทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดสิ้น
1 ดิน
2 สินแร่
3 ปิโตรเลียม
4 แก๊สธรรมชาติ
54. ข้อใดไ ม่ใ ช่แนวทางในการแก้ปัญหาทรัพยากรดิน
1 ใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมากเพื่อบำรุงดิน
2 ปลูกพืชหมุนเวียนจำพวกพืชตระกูลถั่ว
ค ปลูกพืชแบบขั้นบันไดในพื้นที่ลาดชัน
4 การปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน
55. การใช้สารซีเอฟซีในทางการเกษตรและอุตสาหกรรม
เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำลายโอโซนในชั้น บรรยากาศ
ข้อใดต่อไปนี้เป็นผลกระทบจากการลดลงของโอโซน
1 มะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น
2 ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
3 แพลงก์ตอนในทะเลลดลง
4 รังสียูวีแผ่มายังพื้นโลกเพิ่มขึ้น
1 1 และ 4
2 1, 2 และ 3
3 1, 2 และ 4
4 1, 2, 3 และ 4
56. ผลกระทบอันดับแรก จากการเพิ่มของประชากรมนุษย์อย่างรวดเร็ว
คือ
1 ปัญหาทางสังคม
2 ปัญหาด้านการศึกษา
ค ปัญหาด้านการว่างงาน
4 ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ
57. มนุษย์ควรใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไรจึงจะเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
1 ใช้ตามความต้องการ
2 ใช้อย่างระมัดระวังที่สุด
ค ใช้เฉพาะทรัพยากรหมุนเวียน
4 นำทรัพยากรมาพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิต
58. ป่าไม้และสัตว์ป่าจัดเป็นทรัพยากรประเภทใด
1 ทรัพยากรหมุนเวียน
2 ทรัพยากรทดแทนได้
3 ทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดสิ้น
4 ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปและทดแทนไม่ได้
59. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหามลภาวะของดิน
1 การตัดไม้ทำลายป่า
2 การไถพรวนดินไม่ถูกวิธี
ค การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
4 การปลูกพืชหมุนเวียนจำพวกพืชตระกูลถั่ว
60. การปฏิบัติในข้อใดก่อให้เกิดมลภาวะของอากาศน้อยที่สุด
1 ใช้เครื่องยนต์มีกำลังมาก ๆ
2 ใช้เครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์
3 ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์และทำความสะอาดเครื่องยนต์อยู่เสมอ
4 ใช้เครื่องยนต์ที่มีการติดตั้งเครื่องสำหรับเปลี่ยนไอเสียเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไนโตรเจน
61. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพลง
1 การอพยพของสัตว์ฝูงใหญ่
2 การใช้ปุ๋ยชีวภาพในทางการเกษตร
3 ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติ
4 การเพิ่มจำนวนของประชากรมนุษย์
62. การป้องกันการตัดไม้ทำลายป่านั้นเป็นการป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำหรือไม่เพราะเหตุใด
1 เป็น เพราะป่าไม้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
2 เป็น
เพราะวัฏจักรของน้ำจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีป่าไม้เท่านั้น
ค ไม่เป็น เพราะป่าไม้กับแหล่งน้ำลำธารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย
4 ไม่เป็น
เพราะสามารถสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามขาดแคลนได้
63. แก๊สในข้อใดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
1 คาร์บอนไดออกไซด์
2 คาร์บอนมอนอกไซด์
ค ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
4 ไนโตรเจนไดออกไซด์
64. การปฏิบัติในข้อใดทำให้อากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศลดลง
1 ปลูกต้นไม้ยืนต้นในบริเวณที่ว่างเปล่า
2 ทำน้ำพุจำลองในบริเวณสวนสาธารณะ
3 กำจัดวัชพืชด้วยวิธีกลแทนการเผาวัชพืช
4 ใช้พลังงานหมุนเวียนแทนแก๊สธรรมชาติ
65. ถ้าในท้องถิ่นของนักเรียนเป็นแหล่งอุตสาหกรรม
จะประสบกับปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในข้อใด
1 ดิน 3 ป่าไม้
2 น้ำ 4 อากาศ
1 2 เท่านั้น
2 4 เท่านั้น
3 1 และ 3
4 2 และ 4
66. การจัดการทรัพยากรน้ำในชุมชนที่ดีที่สุดคือข้อใด
1 การใช้น้ำอย่างประหยัด
2 การสร้างถังเก็บน้ำฝนสำรองไว้ใช้ยามขาดแคลน
3 การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้ชุมชน
4 การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ
มาใช้ในการบำบัดน้ำเสียจากชุมชน
67. จุดประสงค์สำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
คือ
1 ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนรักธรรมชาติ
2 เพื่อจะได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในปริมาณมากได้
ค
เพื่อกักเก็บทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้คนรุ่นหลังใช้
4 เพื่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด
68. ข้อใดเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
1 การใช้รถจักรยานยนต์แทนรถยนต์ส่วนบุคคล
2 การไม่ใช้รถยนต์ที่เติมน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติ
3 การกำจัดขยะชุมชนโดยการเผาในเตาเผาขยะทุกวัน
4 การบำบัดน้ำทิ้งจากชุมชนแล้วนำไปรดต้นไม้ในเกาะกลางถนน
69. ข้อใดไม่ใช่การเสริมสร้างคุณภาพของสิ่งแวดล้อม
1 ลดการใช้พลังงานจากปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ
2 สงวนรักษาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ให้นานที่สุด
3 เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการอุปโภคและบริโภคของประชากร
4 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติทุกครั้งต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
70. วิธีการใดที่จะช่วยรักษาป่าไม้ให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืน
1 ยกเลิกการสัมปทานป่าไม้
2 ปลูกป่าเพิ่มเท่าที่ตัดต้นไม้ไปใช้
3 กำหนดเขตป่าสงวนเอาไว้ให้มากที่สุด
4 เลือกตัดต้นไม้เฉพาะที่จำเป็นหรือใช้ประโยชน์ได้
71. ข้อใดเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
1 นำกระดาษที่ใช้แล้วหน้าเดียวกลับมาใช้อีก
2 งดการใช้รถยนต์ที่เติมน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติ
3 งดปลูกพืชในบริเวณที่ดินเสื่อมคุณภาพไปแล้ว
4 กำจัดขยะจากชุมชนโดยการเผาในเตาเผาขยะทุกวัน
72. ข้อใดเป็นมาตรการสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
1 ป้องกันการเกิดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม
2 เก็บรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่
3 ทำนุบำรุงทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะที่กำลังจะสูญหายให้คงอยู่ตลอดไป
4 คุ้มครอง สงวน
และบำรุงทรัพยากรธรรมชาติให้มีการทดแทนมากกว่าการใช้ประโยชน์
73. วิธีการอนุรักษ์สัตว์ป่าใด น่าจะได้ผลดีที่สุดและเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
1 จัดตั้งศูนย์เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ของสัตว์ป่า
ข เพิ่มเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
ค ส่งเสริมและรณรงค์ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของสัตว์ป่า
4 จับกุมและลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวดกวดขัน
74. มาตรการเสริมที่จะช่วยให้การดำเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้บรรลุเป้าหมายและให้ผลระยะยาวคือข้อใด
1 การประชาสัมพันธ์และสิ่งแวดล้อมศึกษา
2 การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม
3 การประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
4 การใช้มาตรการจูงใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
75. วิธีการที่จะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้ได้ผลยั่งยืนมากที่สุดคือข้อใด
1 ลงโทษผู้ฝ่าฝืนลักลอบตัดไม้อย่างเคร่งครัด
2 ใช้ไม้และผลิตผลจากป่าไม้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3 เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผลเสียของการตัดไม้ทำลายป่า
4 ให้การศึกษาอบรมแก่เยาวชน
เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าไม้
76. การนำถุงบรรจุสินค้ามาทำเป็นถุงขยะ
เป็นพฤติกรรมในการอุปโภคบริโภคแบบใด
1 reuse
2 repair
3 reduce
4 recycle
77. ข้อใดเป็นการกระทำที่ไม่สนับสนุนปฏิญญารีโอฯ
1 ปลูกผักปลอดสารพิษ
2 ใช้ผลิตภัณฑ์สินค้าสีเขียว
3 บำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แม่น้ำ
4 ใช้โฟมและพลาสติกในการบรรจุสิ่งของ
78. ข้อใดเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางอ้อม
1 การตั้งกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
2 การนำเอาของเก่ามาดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์
3 การสำรวจค้นหาทรัพยากรธรรมชาติแห่งใหม่อยู่เสมอ
4 การบูรณะปรับปรุงทรัพยากรธรรมชาติให้มีสภาพที่ดี
79. ข้อใดแสดงถึงการอุปโภคบริโภคทรัพยากรโดยใช้วิธี reuse
1 นำเศษอาหารมาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์
2 นำกระดาษที่ใช้แล้วหน้าเดียวมาเป็นกระดาษร่าง
3 โรงงานอุตสาหกรรมนำขวดแก้วที่ใช้แล้วมาหลอมใหม่
4 เลือกใช้หลอดไฟฟ้าชนิดหลอดผอมแทนหลอดฟลูออเรสเซนต์
80. ข้อใดผิด
1 ISO 14000 เป็นมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม
2 Earth Summit เป็นการประชุมของนานาประเทศ เพื่อลงสัตยาบันร่วมกันในการแก้ปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ
3 การพัฒนาแบบยั่งยืน
เป็นการพัฒนาที่ดำเนินการควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4 นิเวศวิทยา เศรษฐศาสตร์
และจริยธรรมเป็นหลักการพื้นฐานที่จะต้องมีในกระบวนการพัฒนาแบบยั่งยืน
แบบอัตนัย
คำชี้แจง ตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. ต้นไม้ในป่าหรือในธรรมชาติ
ช่วยให้เกิดสารหมุนเวียนได้กี่ชนิด อะไรบ้าง อธิบายเหตุผลนั้น ๆ
ประกอบ
2. อากาศ
ป่าไม้ และแร่ธาตุ เป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทใด ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้
มีแนวทางในการจัดการอย่างไรจึงจะไม่เกิดผลกระทบต่อมนุษย์และระบบนิเวศ
เฉลย
แบบปรนัย
1. 4 2. 2 3. 2 4.
4 5. 4 6. 4 7. 4 8. 1 9.
4 10. 2
11. 4 12. 4 13. 1 14.
1 15. 3 16. 4 17. 3 18. 1 19.
3 20. 1
21. 2 22. 1 23. 4 24. 3 25. 1 26. 1 27. 1 28.
2 29. 3 30. 2
31. 3 32. 4 33. 1 34.
1 35. 3 36. 3 37. 2 38. 2 39.
1 40. 1
41. 4 42. 4 43. 1 44. 4 45. 3 46. 3 47.
3 48. 1 49. 2 50. 1
51. 4 52. 1 53. 1 54.
1 55. 4 56. 4 57. 2 58. 2 59. 4 60. 4
61. 2 62. 1 63. 1 64.
1 65. 4 66. 1 67. 4 68. 4 69.
4 70. 2
71. 1 72. 4 73. 3 74.
1 75. 4 76.
1 77. 4 78. 1 79.
2 80. 2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น